วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

จุดเทียนยังไง ให้ชีวิต


เคยคิดไหมว่า "ทำไมคุณกำลังทุกข์เพราะลืมอะไรไปหรือเปล่า ????" 



















ที่มา: http://www.athingbook.com


สำหรับผู้สนใจอยากร่วมแจกเป็นธรรมทาน
สามารถร่วมแบ่งปันแจกสิ่งดีงามให้กับสังคมได้แล้ววันนี้
พิเศษ!! เพียงเล่มละ 8 บาท เท่านั้น
(ไม่จำกัดจำนวนขั้นต่ำ)

จัดส่งฟรีทั่วประเทศ!!!
** รับหนังสือแล้วค่อยโอนเงิน **
สั่งซื้อออนไลน์ได้ที่
หรือติดต่อโดยตรงได้ที่
แผนกธรรมทาน สำนักพิมพ์ A THING
086-3343166,086-3555007
หรือส่งอีเมลมาที่athingbook@hotmail.com
หรือ
คุณสามารถเขียน ชื่อที่อยู่ เบอร์ติดต่อกลับส่ง Fax เข้ามาที่ฝ่ายธรรมทานโดยตรง
เบอร์ Fax (ฝ่ายธรรมทาน) : 038-208758
ผู้สนใจร่วมสั่งซื้อแจกเป็นธรรมทานสามารถโอนเงินเข้ามาได้ที่
(บัญชีฝ่ายธรรมทาน)

ธ.กสิกรไทย สาขา โลตัสพระราม1
นาย ชัยพัฒน์ ทองคำบรรจง
เลขที่ บัญชี 768-2-06202-3 ออมทรัพย์**(รับหนังสือแล้วค่อยโอนนะครับ)**


วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมื่อฉันแก่ตัวลง

"เมื่อฉันแก่ตัวลง" บทความชีวิตจริง    เนื่องในโอกาสวันแม่ที่ใกล้​จะมาถึงนี้


เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของ​..ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตระเวน ทั้งเรียน.. ทั้งทำงานไปร้อยเอ็ด..เจ็ดย​่านน้ำ

แม้ผมจะเติบกล้า..เก่งกาจขึ​้นเรื่อยๆ
ความรู้..เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้..เริ่มเล็กลง
แต่พ่อแม่..ที่อยู่บ้านเดิม​ (ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลงด้วย

ผมทำงานอยู่ต่างประเทศไม่ค่​อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่
ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดี..ต่อมามีไอพีการ์ด .. เลยได้คุยสดกันบ้าง

ทุกครั้ง..แม่ก็จะคอยเตือน.​.ให้ระวังสุขภาพของตัวเอง
ตั้งใจทำงาน ..ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง
ยิ่งพูด.. ก็ยิ่งซ้ำๆ ซากๆ ผมรู้ดีว่า..แม่เริ่มคิดถึง​ผมมาก

จนกระทั่งปีนี้ ..แม่อายุ 75

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความสุขเกิดขึ้นเมื่อใด

ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง... 
         ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง

คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น
แต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่ คุณก็เกิดความรู้สึกว่า
เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุขและสบายขึ้น

แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง

และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้  คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น
แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ
จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน

บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนานๆ
และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด
แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที


ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน ?
แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต
เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน

ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ
แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน
ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องความสุขและความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุข
มากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน
แล้วถึงจะมีความสุขได้


เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า
ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้ซื้อบ้าน ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้เกิดเป็นลูกคนรวย ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข
และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต

ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด
4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุดที่ได้รับรางวัลออสการ์

นึกไม่ออกใช่ไหม? ไม่ใช่เรื่องแปลก
ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
คนที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ก็ล้วนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา
รางวัลต่างๆ เมื่อวางไว้นาน ก็จะถูกฝุ่นจับ แม้แต่ผู้ชนะก็จะถูกลืมในไม่ช้า

ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1. บอกชื่ออาจารย์ 3 ท่านที่เคยช่วยเหลือคุณในเรื่องการเรียน
2. บอกชื่อเพื่อน 3 คนที่ช่วยเหลือคุณในยามที่คุณต้องการ
3. นึกถึงคน 3 คนที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณได้เป็นคนพิเศษ
4. บอกชื่อคน 3 คนที่คุณอยากใช้เวลาด้วย

นึกออกง่ายกว่าใช่ไหม? นั่นเป็นเพราะว่า
คนที่มีความหมายต่อชีวิตคุณ ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเป็นที่สุด
ไม่ได้มีเงินมากที่สุด ไม่ต้องได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะยังมีคนใกล้ตัวคุณอีกหลายคน ที่ห่วงใยคุณ คอยให้การดูแลคุณ
และเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะคอยอยู่เคียงข้างคุณ

... ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุข มากกว่าช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้..
ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้
๑. อย่าเปรียบเทียบ ชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้น เขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง  
๒. อย่าคิดทางลบ เกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิด ทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย  
๓. อย่าทำอะไร เกินกว่าที่ตัวเองทำได้ ...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน   ๔..อย่าเอา จริงเอาจังกับตัวเองนัก  เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก  
๕. อย่าเสียเวลา และพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิม หรือเรื่องซุบซิบ.... นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง  
๖. จงฝันตอนตื่น มากกว่าตอน หลับ  
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยา เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆปลี้ๆ... คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่าง ที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว  
๘.  ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสียและอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ  
๙.  ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร... จงอย่าเกลียดคนอื่น  
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ  
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง  
๑๒.จงเข้าใจเสียว่า ชีวิต ก็คือ โรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้  และปัญหา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หายไป... เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต... แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้น อยู่กับคุณตลอดชีวิต  
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น  
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกเถียงกับคนอื่น หรอก... บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้... เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร 
 
แล้ว เราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้าง เราล่ะ        
        ๑.    อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ  
        ๒.    จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน  
        ๓.    จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง  
        ๔.    จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6ขวบ  
        ๕.    พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน  
        ๖.    คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย  
        ๗.   งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่า ที่จะดูแลคุณ ในยามคุณมีปัญหา สุขภาพ ดังนั้น,  อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็น อันขาด
 
และ ถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้ , ก็ควรจะทำ ดังต่อไปนี้
        ๑.   ทำสิ่งที่ควรทำ  
        ๒.  อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์,จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม ?
        ๓.  เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผล ทุกอย่างได้  
        ๔.  ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยว มันก็เปลี่ยน  
        ๕.  ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก จากเตียง, แต่งตัว และปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน  ด้วย... get up, dress up and show up.
        ๖.   สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง  
        ๗.   ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย  
        ๘.  เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ...
ดังนั้นส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า


และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

       " ส่งบทความนี้ต่อไปให้คนที่คุณรักและห่วงใยด้วยนะ... "

สิ่งดีๆ มีไว้แบ่งปัน  ^_^

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทำไม 3x8=23 ?

3 x 8 = 23 ?
                     เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษามีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ  มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ ที่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า  ได้ยินลูกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24 เหรียญล่ะ!
               
               เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก
                คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุย และกล่าวว่าใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน
               เอี่ยนหุยกล่าวว่า ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
              คนซื้อผ้ากล่าวว่า หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ? ” เอี๋ยนหุยกล่าวว่า   หากท่านวินิจฉัยว่า ข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก (ตำแหน่ง)
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
               เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย
                เอี๋ยนหุยไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น   ชายผู้นั้น เมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
                พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ  ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้   ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว  พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า

อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง
                เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า ศิษย์จะจำใส่ใจแล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง  เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุ ลมฝนเป็นแน่  จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่าอย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง

                  เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่  ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก  สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด

คำกล่าวของพระอาจารย์ ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้ สาเหตุ?
                  เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆ เดาะดาลประตูห้องของภรรยา  เมื่อเอี๋ยนหุย คลำไปที่เตียงนอนก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
                   เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง

                   เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่ง คือน้องสาวของเขาเอง  พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก  
                  เมื่อพบหน้าขงจื้อ จึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์ และกล่าวว่าท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็น ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”   ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่  จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่   และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย   อาจารย์จึงเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง
                   เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกินขงจื้อจึงตักเตือนเอี๋ยนหุยว่า อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก  หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆ หนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ ? ”
 
                   เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆ น้อยๆ ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชรา จึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”   
              จากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด มีเอี๋ยนหุย ติดตามไม่เคยห่างกาย
 

 จากตำนานเรื่องเล่านี้ ...
บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต  เรื่องราวมากมายที่ไม่ ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
         ทะเลาะกับลูกค้า  ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
         ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
         ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
         ทะเลาะกับเพื่อน   ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)

ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
          ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า  จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด

...นับถือๆ  เรื่องดีๆ มีไว้แบ่งปัน ^__^

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

เพราะฉันขัน ...ตะวันจึงขึ้น

เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น
อย่าทำงานจนป่วยตาย..อย่าหลงใหลตัวเอง




ที่ วัดเซนแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง
 หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้บริหารที่เก่งมาก กางปีกปกป้องภรรยาและลูกทุกตัว
 อยู่กันมาอย่างมีความสุข ทุกๆ เช้าเวลาตีห้า ไก่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว
จะบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ และโก่งคอขันเสียงก้องไปทั้งพงไพร
 ประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ก็จะอรุโณทัยฉายแสงขึ้นมาส่องแสง
สว่างไปทั่วทั้งสากลโลก ไก่สี่ตัวนี้จะมีความสุขมากที่ได้เห็นตะวันค่อยๆ
 ทอแสงสุขสว่างขึ้นมา เขาจะยืนชื่นชมแสงตะวัน และก็ยืนภาคภูมิใจว่า
 เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น มีความสุข นี่คือผลงานของฉัน
ทุกๆ เช้าไก่ตัวนี้ก็จะบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้ และเมื่อขันเสร็จแล้ว
ก็รอดูตะวันขึ้นที่เหนือยอดเขา พอตะวันขึ้นเสร็จแล้วก็บิน
กลับลงมาหาอยู่หากินกับลูกกับเมีย เขามีความสุขมาก

ต่อ มาวันหนึ่ง เนื่องจากตรากตรำภาระหนักเหลือเกิน
ร่างกายทนไม่ไหวก็ป่วย เช้าตรู่วันนั้นไก่ตัวนั้นก็บินขึ้น
ไปเกาะกิ่งไม้ที่เดิม ขณะจะขันเพื่อเรียกตะวันขึ้นก็ร่วงตกลงมา
 รู้สึกไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ลูกชายซึ่งเป็นไก่โต้งคนรุ่นใหม่  ไฟแรงเดินเข้ามาประคองพ่อ
พ่อ ผมว่าถ้าพ่อขันไม่ไหว วันนี้ผมขันแทนเอาไหม
ไก่พ่อ  ก็ยืดอกขึ้นมาชี้หน้าลูก
น้ำหน้าอย่างแก ถ้าขันตะวันมันจะขึ้นไหม หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างสิ
เจอผู้ใหญ่ดับฝันแบบนี้ลูกหัวหดเลย

เช้าตรู่วันนั้นทั้งๆ ที่ป่วย ไก่ตัวนี้ก็บินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้
และก็ขันครั้งสุดท้าย ขันได้ครั้งเดียว ตกลงมาดิ้นพราดๆ
ก่อนจะขาดใจตาย เรียกประชุมผู้ถือหุ้นด่วน
ทั้งภรรยาและลูกมากันครบ สั่งเสียว่า
เธอที่รัก ลูกพ่อ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปพี่คงไม่มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว
และจากนี้เป็นต้นไป พอพี่ไม่ขัน ตะวันก็จะไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค
ฉะนั้นขอให้เธอและลูกดูแลบริษัทของเราให้ดีๆ
ถ้าไม่มีพี่แล้วจะอยู่กันด้วยความยากลำบาก
 มนุษยชาติก็จะถึงคราววิบัติ ดูแลกันดีๆ นะที่รัก


เสร็จแล้วก็ล่วงลับดับขันธ์ไป พร้อมกับความเข้าใจผิดว่า
 เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น หารู้ไม่ว่าวันรุ่งขึ้น
 พอไก่ตัวนี้ตายไปแล้ว
ตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม
โลกดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ไก่ตัวนั้นไม่ได้นำเอาตะวันไปด้วยสักนิด
พระอาทิตย์ยังคงอุทัย พระจันทร์ยังคงทอแสง สายน้ำยังคงไหลเอื่อย
ดอกไม้ยังคงผลิบาน โลกนี้ยังคงมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
นกก็ยังมีข้าวปลาอาหาร คนต่างๆ ก็ยังคงทำงานต่อไปได้เหมือนเดิม
ฉะนั้น ผู้บริหารทุกคน เมื่อเราบริหารงานไปได้ระดับหนึ่งแล้ว
อย่าหลงตัวเองว่าองค์กรนั้นถ้าขาดฉันแล้วไปต่อไม่ได้
ควรเตือนตัวเองเอาไว้บ่อยๆ ว่า ถ้าขาดฉันแล้วมันจะไปได้ดี
เพื่อจะได้ไม่หลงตัวเอง

 ผู้บริหารจำนวนมาก ทันทีที่ประสบความสำเร็จก็ล้มเหลวในวันนั้น
เพราะทันทีที่ประสบผลสำเร็จก็เริ่มหลงตัวเอง
 และนี่แหละคือจุดจบของผู้บริหาร
ฉะนั้นจำนิทานเรื่องนี้ไว้
วันหนึ่งถ้าเราประสบความสำเร็จ ก็อย่าไปหลงตัวเองว่าเรา ต้องเป็นหนึ่งในตองอูเท่านั้น
จนไม่ยอมบริหารจัดการอำนาจความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นเลย
ผู้บริหารที่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่แบกหนักที่สุด
ผู้บริหารที่ดีคือผู้ที่แบกหนักพอสมควร และกระจายภาระให้คนอื่นแบก
และประการสำคัญที่สุด ผู้บริหารจะไม่ทำงานจนป่วยตาย
…...